DITTO ควัก 160 ล้านปลูกป่ารับคาร์บอนเครดิต-ตั้งทีมเจาะงานราชการดิจิทัลทั่วประเทศ

ข่าวล่าสุด

DITTO เดินหน้าปลูกป่าชายเลนกำเงิน 160 ล้านบาท ทีมงาน ต้นกล้าพร้อมลุย เตรียมทาบ “ชุมชน” ในพื้นที่เข้ามีส่วนร่วม ตั้งเป้า 1 แสนไร่ พร้อมรับข่าวดี พ.ร.บ.ปฏิบัติราชการทางอิเล็กทรอนิกส์บังคับใช้ ตั้งทีมเจาะองค์กรท้องถิ่น 8 พันแห่ง

วันที่ 25 ตุลาคม 2565 นายฐกร รัตนกมลพร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดิทโต้ ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) หรือ “DITTO” เปิดเผยในงาน “BLS Carbon credit Steering toward sustainable growth” จัดโดย บริษัทหลักทรัพย์บัวหลวง ว่าดิทโต้ได้ให้ความสนใจในธุรกิจคาร์บอนเครดิตมาโดยตลอด

ล่าสุด บริษัท สยาม ทีซี เทคโนโลยี ซึ่งเป็นบริษัทย่อยได้รับใบอนุญาตให้เข้าไปดูแลรักษาป่าชายเลน 11,448.3 ไร่ เป็นเวลา 30 ปี เพื่อใช้ประโยชน์ทางคาร์บอนเครดิต และบริษัทจะไปเจรจากับชุมชนบริเวณที่ได้สิทธิ์ในการปลูกป่า เพื่อจะเข้ามาร่วมลงทุนและช่วยบริหารจัดการ ซึ่งทางบริษัทตั้งเป้าปลูกป่าถึง 1 แสนไร่

สาเหตุที่ดิทโต้สนใจธุรกิจนี้ สืบเนื่องมาจาก ก่อนหน้านี้มีการดำเนินธุรกิจที่ช่วยเรื่องลดโลกร้อน ทั้งธุรกิจบริหารจัดการเอกสารและข้อมูลในรูปแบบดิจิทัล “Data & Document Management Solutions” ซึ่งมีส่วนช่วยลดการใช้กระดาษ ทำให้ลดการตัดต้นไม้ลงได้ ซึ่งการลดการใช้กระดาษสามารถนำไปคำนวณคาร์บอนเครดิตได้

นอกจากนี้ บริษัทสยาม ทีซีเทคโนโลยี มีโครงการบริหารจัดการคัดแยกขยะ ที่สามารถช่วยลดขยะและนำมาคำนวณคาร์บอนเครดิตได้ ทุกวันนี้ ดิทโต้ ได้เข้าไปบริหารจัดการคัดแยกขยะให้กับ อบจ.แห่งหนึ่ง จำนวน 160 ตันต่อวัน ซึ่งคำนวณเป็นคาร์บอนเครดิต 0.5-0.6 ต่อตันต่อวัน หากรวมทั้งปีก็ไม่น้อย และยังได้ค่าบริหารจัดการอีกด้วย

นายฐกรกล่าวต่อว่า สำหรับดิทโต้ ก่อนที่จะมาโฟกัสด้านกรีนเทคโนโลยี ก็มีประสบการณ์ มีความชำนาญด้านเทคโนโลยีอื่น ๆ มาพอสมควร ด้านบริษัทสยาม ทีซี เทคโนโลยี ก็มีความเชี่ยวชาญการบริหารจัดการน้ำมาก่อนจึงสนใจในเรื่องปลูกป่าเพื่อใช้ประโยชน์จากคาร์บอนเครดิต

ปัจจุบัน ดิทโต้มีความพร้อมทั้ง บุคลากร รวมถึงต้นกล้าที่จะนำมาปลูก โดยใช้เงินลงทุนราว 150-160 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายปีละ 30-35 ล้านบาทสำหรับดูแลรักษาป่าและช่วยสร้างงานให้คนในชุมชนก็เตรียมไว้แล้ว ขณะเดียวกัน ก็กำลังศึกษาวิธีการระดมทุนในรูปแบบอื่น เช่น การออกบอนด์ หรือโทเคน โดยเปิดให้ภาคธุรกิจที่ต้องใช้คาร์บอนเครดิตจองล่วงหน้า ถ้าสำเร็จอาจจะไม่ต้องใช้เงินบริษัทในการลงทุน

“ในอนาคตเชื่อว่าราคาคาร์บอนเครดิตจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตามกระแสโลกที่เอาจริงกับปัญหาโลกร้อน รวมถึงการที่ประเทศผู้นำเข้าบังคับให้ผู้ส่งออกต้องเสียภาษีตามมาตรการ CBAM หากไม่สามารถลดคาร์บอนได้ และทราบว่าอีก 2 ปีประเทศไทยก็จะออกกฎหมายเป็นภาคบังคับเช่นกัน อีกทั้งคาร์บอนเครดิตที่ได้จากป่าชายเลนเรียกว่า บลูคาร์บอน มีราคาสูงกว่าที่ได้จากแหล่งอื่น ๆ”

นายฐกรกล่าวอีกว่า เมื่อวันที่ 12 ตุลาคมที่ผ่านมา ได้มีราชกิจจานุเบกษาประกาศ พ.ร.บ.การปฏิบัติราชการทางอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ 90 วันหลังจากประกาศ ทำให้หน่วยงานราชการต่าง ๆ สามารถบริหารจัดการเอกสารให้เป็นระบบดิจิทัลได้แบบมีกฎหมายรองรับ ซึ่งมูลค่ารวมของการปรับการทำงานของหน่วยงานราชการให้กลายเป็นดิจิทัลทั้งระบบนั้น คาดว่ามูลค่ากว่าหมื่นล้านบาท

นอกจากนี้ ทางบริษัทจะเน้นขยายตลาดไปที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ทั้ง อบจ. เทศบาล อบต. ทั่วประเทศกว่า 8 พันแห่ง คาดว่ามูลค่าไม่ต่ำกว่า 3-4 พันล้านบาท ซึ่งบริษัทได้ทดลองบุกตลาดมาระยะหนึ่งแล้ว โดยจัดทีมขายเข้าไปขายโดยตรง รวมทั้งร่วมมือกับตัวแทนจำหน่ายของบริษัทในต่างจังหวัด